กรุงเทพฯ, 28 สิงหาคม 2568 – บริษัท เอสทีพี แอนด์ ไอ จำกัด (มหาชน) (SET: STPI) ผู้ถือหุ้นในโครงการพลังงานลมมอนสูน (Monsoon Wind Power Project) ประมาณ 16% ประกาศความสำเร็จในการเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ (COD) ของโครงการฟาร์มกังหันลมขนาดใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งมีกำลังการผลิตรวม 600 เมกะวัตต์ นับเป็นโครงการฟาร์มกังหันลมแห่งแรกของ สปป.ลาว และเป็นโครงการพลังงานหมุนเวียนข้ามพรมแดนแห่งแรกของเอเชีย ที่ส่งพลังงานสะอาดจาก สปป.ลาว เข้าสู่ระบบโครงข่ายไฟฟ้าแห่งชาติของเวียดนาม เพื่อตอบสนองความต้องการใช้ไฟฟ้ากว่า 1 ล้านครัวเรือน
จากแนวคิดอันกล้าหาญเมื่อปี 2554 วันนี้โครงการดังกล่าวได้กลายเป็นความสำเร็จครั้งสำคัญในประวัติศาสตร์พลังงานสะอาดของเอเชีย โครงการพลังงานลมมอนสูนได้เดินเครื่อง COD อย่างเป็นทางการ ตั้งแต่วันที่ 22 สิงหาคม 2568 เพื่อส่งมอบไฟฟ้าสะอาด 600 เมกะวัตต์จากเทือกเขาทางตอนใต้ของ สปป.ลาว สู่ประเทศเวียดนาม ซึ่งช่วยเสริมความมั่นคงด้านพลังงานในภูมิภาค กระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจ และปูทางสู่การเชื่อมโยงโครงข่ายพลังงานอาเซียน ด้วยพลังของความร่วมมือระหว่างหลายประเทศ
โครงการนี้ตั้งอยู่ที่แขวงเซกอง (เมืองดากจึง) และแขวงอัตตะปือ (เมืองซันไซ) ติดตั้งกังหันลมจำนวน 133 ต้น ท่ามกลางกระแสลมที่แรงสม่ำเสมอ เพื่อผลิตไฟฟ้าผ่านสถานีไฟฟ้า 115 kV จำนวน 4 แห่ง ก่อนถูกยกระดับเป็น 500 kV และส่งต่อผ่านสายส่งแรงสูงระยะทาง 27 กิโลเมตรถึงชายแดนลาว–เวียดนาม เพื่อเชื่อมต่อกับสถานีไฟฟ้า Thanh My ขนาด 500 kV ของเวียดนาม
ความสำเร็จเชิงวิศวกรรมและความร่วมมือระดับนานาชาติ
โครงการนี้ก่อสร้างแล้วเสร็จภายในเวลาเพียง 27 เดือน และสามารถ COD ได้เร็วกว่าแผนถึง 4 เดือน โดยดำเนินงานตามมาตรฐานสิ่งแวดล้อมและสังคมระดับสากล และไม่มีการโยกย้ายชุมชน แสดงถึงศักยภาพในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานสะอาดอย่างยั่งยืนของภูมิภาค
ประโยชน์สู่ชุมชนท้องถิ่น
ตั้งแต่เริ่มก่อสร้างในเดือนมีนาคม 2566 โครงการสร้างงานไม่น้อยกว่า 1,600 ตำแหน่ง โดยมากกว่า 1,000 ตำแหน่งเป็นแรงงานชาวลาว พร้อมสนับสนุนการพัฒนาทักษะและสร้างรายได้ในพื้นที่ อีกทั้งยังส่งเงินเข้ากองทุนพัฒนาชุมชน ปีละ 1.1 ล้านเหรียญสหรัฐ เพื่อสนับสนุนการศึกษา สาธารณสุข เกษตรกรรม และโครงสร้างพื้นฐานของหมู่บ้านโดยรอบด้วย
ผลลัพธ์เชิงสิ่งแวดล้อม
ตลอดอายุโครงการ 25 ปี คาดว่าจะช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้มากกว่า 32.5 ล้านตัน เทียบเท่ากับการนำรถยนต์กว่า 7 ล้านคันออกจากท้องถนนเป็นเวลา 1 ปี หรือการปลูกต้นไม้กว่า 59 ล้านต้นและดูแลต่อเนื่อง 25 ปี
คำกล่าวจากผู้บริหาร STP&I
นายมาศถวิน ชาญวีรกูล กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอสทีพี แอนด์ ไอ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า:
“พวกเรารู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้มีส่วนร่วมในโครงการประวัติศาสตร์นี้ ซึ่งไม่เพียงส่งมอบพลังงานสะอาดข้ามพรมแดน แต่ยังสร้างมาตรฐานใหม่ด้านโครงสร้างพื้นฐานพลังงานหมุนเวียนในเอเชีย โครงการนี้สะท้อนถึงความเชี่ยวชาญ ความเป็นมืออาชีพ และความร่วมมือที่แท้จริงระหว่างประเทศ บริษัทฯ มีความไว้วางใจในคณะผู้ริเริ่มพัฒนาและทีมบริหารโครงการอย่างเต็มที่ จึงได้ตัดสินใจลงทุนด้วยความมั่นใจและศรัทธาในความสำเร็จ”
“STP&I ขอยืนยันพันธกิจระยะยาวในการขับเคลื่อนพลังงานสะอาดและความยั่งยืน เรามีความภาคภูมิใจที่ได้ส่งมอบความเชี่ยวชาญในโครงการที่สร้างคุณค่าต่อชุมชน เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อม โครงการนี้ไม่เพียงเป็นก้าวแรกของพลังงานลมข้ามพรมแดน แต่ยังเป็นก้าวสำคัญของบริษัทฯ ในการขยายสู่ธุรกิจพลังงานสะอาด และบรรลุเป้าหมายเชิงกลยุทธ์อย่างงดงาม”
เบื้องหลังความสำเร็จ
โครงการดังกล่าวริเริ่มโดยบริษัท Impact Electrons Siam (IES) และพัฒนาโดยบริษัท Monsoon Wind Power Company Limited ใน สปป.ลาว โดยได้รับการสนับสนุนจากผู้ถือหุ้นนานาชาติ ได้แก่ IES, ACEN จากฟิลิปปินส์, BCPG และ STP&I จากประเทศไทย, Mitsubishi Corporation และ Diamond Generating Asia จากญี่ปุ่น รวมถึง SMP Consultation Sole Company Limited จาก สปป.ลาว
ด้วยมูลค่าการลงทุนราว 950 ล้านเหรียญสหรัฐ โครงการได้รับการสนับสนุนทางการเงินจากสถาบันชั้นนำระดับโลกและภูมิภาค อาทิ ธนาคารพัฒนาเอเชีย (ADB – ผู้นำการจัดหาเงินกู้), ธนาคารเพื่อการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานแห่งเอเชีย (AIIB), องค์การความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งญี่ปุ่น (JICA), ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM Thailand), Hong Kong Mortgage Corporation (HKMC), Sumitomo Mitsui Banking Corporation (SMBC), ธนาคารกสิกรไทย และธนาคารไทยพาณิชย์
เกี่ยวกับบริษัท เอสทีพี แอนด์ ไอ จำกัด (มหาชน)
บริษัท เอสทีพี แอนด์ ไอ จำกัด (มหาชน) (SET: STPI) เป็นหนึ่งในผู้นำด้านงานวิศวกรรม จัดหา และก่อสร้าง (EPC) ของไทย เชี่ยวชาญการผลิตโครงสร้างเหล็ก โมดูลอุตสาหกรรม และโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ ด้วยประสบการณ์ยาวนาน ศักยภาพการผลิตที่ทันสมัย และความสามารถในการส่งมอบโครงการระดับสากล ปัจจุบันบริษัทกำลังก้าวสู่บทบาทใหม่ในธุรกิจพลังงานหมุนเวียนและความยั่งยืน เพื่อสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านสู่อนาคตพลังงานสะอาดของอาเซียน




